ปัจจัยต่างประเทศ: รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะเป็นตัวขับเคลื่อนทิศทางตลาดในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า ขณะนี้ บรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ออกมาแล้วกำไรดีกว่าตลาดคาดมีสัดส่วน 82% ของจำนวนบริษัทที่รายงานออกมาทั้งหมด  หุ้น Johnson & Johnson พุ่งขึ้น 2.34% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 สูงกว่าคาดการณ์โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนโควิดที่มีมูลค่าสูงถึง 502 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Netflix รายงานกำไรออกมาดีกว่าคาด รายได้โต (+16% กำไรโต +83%) และจำนวนยอด Subscribers เพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ 213 ล้านราย โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียที่เติบโตสูง+28% จากรายงานดังกล่าวส่งผล sentiment บวกต่อกลุ่มหุ้น Healthcare และ Technology ที่จะทยอยรายงานงบในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ สายพันธุ์เดลต้าพลัส (AY.4.2) ที่เริ่มแพร่ระบาดในอังกฤษมากขึ้นโดยล่าสุดเป็นสัดส่วนประมาณ 6% ของผู้ป่วยใหม่ จะส่งผลร้ายแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้าปกติมากน้อยแค่ไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการ wait & see แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคาดว่าน่าจะไม่รุนแรงเหมือนครั้งก่อน นอกจากนี้อีกความกังวลสำคัญสำหรับนักลงทุนคือประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ โดยผลสำรวจผู้จัดการกองทุนเดือนล่าสุดพบว่าเงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงสำคัญเพิ่มขึ้นต่อการลงทุน ขณะที่มองความเสี่ยงฟองสบู่ราคาสินทรัพย์ลดลง

ปัจจัยภายในประเทศ: ภาพรวมดัชนี SET ระยะสั้นดูมี upside เริ่มจำกัดหลังตลาดรับรู้ข่าวดีเรื่องการเปิดเมือง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคลุมเครือไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนตลาด คาดว่านักลงทุนจะหันมาติดตามผลประกอบการบริษัทรายตัวเป็นหลัก โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยรายงานออกมาแล้วอย่าง TISCO และ KKP ถือว่าออกมาตามตลาดคาดและดีกว่าคาดตามลำดับ โดยทั้งสองธนาคารดังกล่าวดูลดความกังวลเกี่ยวกับ NPLs และคาดว่าจะทยอยลดการตั้งสำรอง (ECL) ลงต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้กำไรฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสี่ ทั้งนี้เรายังมองว่ากำไรของกลุ่มธนาคารได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสสามและจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสี่ โดยอาจเห็น upside risk เพิ่มเติมจากการตั้งสำรองที่น้อยกว่านักวิเคราะห์คาด เรายังแนะนำทยอยลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารเมื่อมีการอ่อนตัวลง

มุมมองตลาดหุ้น วันนี้คาด SET 1630-1640 หุ้นแนะนำ BBIK, DOHOME

1) BBIK (ราคาพื้นฐาน 40.57 บาท) ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นจาก 1) การปรับเพิ่มประมาณการกำไร 2) เพิ่มตัวคูณ PER และ 3) มูลค่าเพิ่มจากดีล M&A แนวโน้มรายได้แข็งแกร่งหนุนจากยอด backlog ณ ไตรมาส 3/2564 ที่มากกว่า 300 ลบ. เพิ่มขึ้นมากจากที่ 161 ลบ. ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 ทั้งนี้เราคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากแนวโน้ม digital transformation ที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในไทย

2) DOHOME (ราคาพื้นฐาน 34.50 บาท) คาดยอดขายไตมาส 3/64  จะโตขึ้น 84% YoY แต่ลดลง 43% QoQ ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/64 เราคาดว่ากำไรจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ หนุนจาก SSSG ที่เติบโตจากความต้องการซ่อมแซมบ้านหลังนำท่วมในบางจังหวัดและ GPM ที่สูงขึ้น

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันพุธ ติดตาม ตัวเลขส่งออก และนำเข้าของญี่ปุ่นเดือน ก.ย. คาด +11% YoY และ +34% YoY ตามลำดับ ตัวเลข Loan Prime Rate 1 ปีของจีน คาดคงดอกเบี้ยที่ 3.85% ตัวเลข House Price Index เดือน ก.ย. ของจีนคาด +4% YoY ดัชนีราคา PPI ของเยอรมันเดือน ก.ย. คาด +1% MoM และ +12.7% YoY และปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รายสัปดาห์

วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลข Existing Home Sales ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +1.2% MoM เป็น 5.95 ล้านยูนิต ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯรายสัปดาห์คาด 2.98 แสนคน

วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขส่งออก และนำเข้าของไทยเดือน ก.ย. ดุลการค้าของไทยเดือน ก.ย. ตัวเลข Inflation และ Core Inflation เดือน ก.ย. ของญี่ปุ่นเดือน ก.ย. คาด -0.3% YoY และ +0.1% YoY ตามลำดับ ตัวเลข Markit Manufacturing PMI Flash ของยูโรโซน เดือน ต.ค. คาด -2.7% MoM เป็น 57 จุด ตัวเลข Markit Service PMI Flash ของยูโรโซน เดือน ต.ค. คาด -1.8% MoM เป็น 55.4 จุด ตัวเลข Markit Manufacturing PMI Flash ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาดทรงตัว MoM ที่ 60.3 จุด และตัวเลข Markit Service PMI Flash ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาดทรงตัว MoM ที่ 55.1 จุด

- Advertisement -