Daily Focus
Value and Domestic Play
2022 SET Target: 1770
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังแกว่ง Sideways และปิดทรงตัว โดยช่วงเปิดตลาดปรับขึ้นทดสอบ 1,685+- จุดได้ตามคาด แต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้ ภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น สถาบันในประเทศยังขายสุทธิในตลาดหุ้นอีกเล็กน้อย 396 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิใกล้เคียงกัน 368 ลบ. (และ Short SET50 Index Futures 4.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังอยู่ในช่วงแกว่ง Sideways โดยวานนี้คาดอ่อนตัวลงหากรอบ 1,670-1,675 จุด โดยถูกกดดันจากราคา Commodity ที่ปรับตัวขึ้น กลุ่มพลังงานต้นน้ำคาดประคองตลาดได้บ้าง จากราคาน้ำมันที่พุ่งหลังรัสเซียต้องการให้จ่ายเงินซื้อพลังงานเป็นรูเบิล อย่างไรก็ตาม เรามองกลุ่ม Real Sector อื่นๆยังถูกกดดันจากฝั่งต้นทุนการผลิต และ Margin ที่อาจชะลอตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เป็นขา ขึ้ นและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากสงคราม ทำให้ปัจจุบันเข้าสู่ภาวะ Stagflation ซึ่งกดดันสินทรัพย์เสี่ยง และจำกัดการปรับขึ้นในระยะนี้ ขณะที่ภาพเศรษฐกิจในประเทศยังดูดีกว่าเล็กน้อย โดยคาดทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องตามการผ่อนคลายมาตรการคุม COVID-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2H22 หลังประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นหนุนการท่องเที่ยวฟื้นตัวระยะยาว ภาพรวมจึงยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราที่เน้นหุ้น Value และ Domestic Play ซึ่งทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงินของ FED ที่ดึงตัวได้ดี กลุ่มที่เราชอบยังคงเป็นธนาคาร ค้าปลีก อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ เป็นต้น
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในกลุ่ม Value และ Domestic Play ที่กระทบจากปัจจัยต่างประเทศจำกัด และได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : BDMS, CPALL, OSP, PJW, TOP
หุ้นเด่นวันนี้ : FSMART
- แนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 16 บาท
- เรามีมุมมองบวกต่อธุรกิจตู้เต่าบินมากขึ้นจากจำนวนแก้วที่ขายได้เฉลี่ยต่อตู้ที่เพิ่มขึ้น จาก 45 แก้วต่อวันในปีก่อน ปรับขึ้นเป็นกว่า 60 แก้วในปัจจุบัน ขณะที่จํานวนตู้คาดเร่งตัวขึ้นเป็น 4.6 พันตู้ปีนี้ และ 1.26 หมื่นตู้ปี 2023
- มีแนวโน้มปรับเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นฟอร์ท เวนดิ้งจากปัจจุบันที่ 19% และคาดหวัง ระดับ 20-25% ซึ่งสามารถเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้เป็นส่วนแบ่งกำไร ซึ่งหากรวมกําไรจากเต่าบินในสัดส่วนดังกล่าว เราคาดกําไรปี 2022-2023 +53% Y-Y และ +62% Y-Y ตามลำดับ
- แนวรับ 12//11.50 บาท แนวต้าน 13//13.50 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคอีก US$623 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$409 ล้านและ US$115 ล้าน ตามลำดับ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนตลาดอาเซียนไหลเข้าเกือบทุกประเทศ นำโดยอินโดนีเซีย US$56 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลออกบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนมีโอกาสพลิกมาไหลออก ตลาดยังกังวลราคา Commodity ที่เร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกดดันเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้พุ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจให้ชะลอตัว
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่มบันเทิง เม็ดเงินโฆษณา 2M22 -2% Y-Y จากปัจจัยฤดูกาล รวมถึงผลกระทบระยะสั้นของ COVID-19 ที่ระบาดเร่งตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เรามองว่าจะเห็นการฟื้นตัวใน 2Q22 และตลอดทั้งปี 2022 ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวระยะสั้น เราคาดสื่อทีวีจะแข็งแรงในภาวะการระบาด ขณะที่สื่อนอกบ้านจะดูดีขึ้นในระยะถัดไป ส่วน 2Q22 โดยปกติจะเป็นหน้าหนังทำเงิน หุ้นกลุ่มบันเทิงที่น่าสนใจได้แก่ BEC (ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท) PLANB (ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท) MAJOR (ราคาเป้าหมาย 25 บาท) และเราเลือก ONEE (ราคาเป้าหมาย 14 บาท) เป็น Top Pick (Source: FSSIA)
(+) SCGP เรายังมองบวกต่อทิศทางผลการดำเนินงาน 3 ปีข้างหน้าที่ยังแข็งแกร่ง โดยคาดต้นทุนกระดาษเก่าคาดปรับตัวลง 10-15% Y-Y ตาม Supply ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของต้นทุนทั้งหมดซึ่งกระทบไม่มาก และมีการล็อคราคาแล้วบางส่วน ขณะที่ปีนี้คาดเห็นผลบวกจากกลยุทธ์ M&P ในปีที่ผ่านมาชัดเจน ขึ้น เราปรับลดกำไรปี 2022-2023 ลงเป็น +40% Y-Y และ +13% Y-Y และปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 70 บาท สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)
(0) SEAFCO ประกาศรับงานเพิ่มเดือน มี.ค. 6 โครงการรวม 434 ลบ.หลักๆจากโครงการมอเตอร์เวย์บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว หนุน Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 1.55 พันลบ. เป็น Catalyst บวกต่อราคาหุ้นจากการรับเงินเพิ่มที่เป็นงานใหญ่และ Margin ดี อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไร 1Q22 คาดยังทรงตัวอยู่ระดับต่ำและขาดทุน เนื่องจากยังเป็นช่วงรับรู้งานเก่าที่มีการแข่งขันสูงและ Margin ค่อนข้างต่ำ เราคาดผลการดำเนินงานจะทยอยฟื้นใน 2Q22 จากการเริ่มงานทางยกระดับ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนในการเริ่มงานโครงการใหญ่ Central Embassy จึงแนะนำเพียง “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท เราชอบ PYLON มากกว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.80 บาท
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 448.96 จุด หรือ 1.29% ปิดที่ 34,358.50 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง กระทบเศรษฐกิจและผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางติดตามการ ประชุมผู้นำนาโตที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมในวันที่ 24 มี.ค. เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการวางแผนกดดันให้รัสเซียยุติการโจมตียูเครน
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวผสม โดยมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นกว่า 5%
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าลง ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 5.66 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 114.93 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานว่าบริษัท Caspian Pipeline Consortium (CPC) ของคาซัคสถาน ซึ่งการส่งออกน้ำมันคิดเป็น 1.2% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก ไม่สามารถส่งออกน้ำมันจากโรงงาน เนื่องจากประสบความเสียหายจากพายุ รวมถึงหนุนจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับนักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 15.8 ดอลลาร์ หรือ 0.82% ปิดที่ 1,937.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ในสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน และแรงซื้อสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 1,087.66 / +4.06