SET มีปัจจัยกดดัน หลังตลาดกลับมากังวลต่อภาวะ Recession

Investment Ideas:

  • ภาพรวมการลงทุน: เราคาดว่า SET วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,595-1,625 จุด  – เราคาดว่า SET ยังคงมี Sentiment เชิงลบ หลังความกังวลต่อ Recession กลับมากดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นกลับมาฟื้นตัว ทำให้ภาวะ inverted yield curve กลับมามีน้ำหนักต่อภาพรวมการลงอีกครั้ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ปรับเพิ่มในอัตราเร่งมาอยู่ที่ 4.46% (เช้านี้) ทำให้ Spread 2/10 ปี กลับมาสูงถึง 70bps รวมไปถึงการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ กดดันตลาด Commodity รวมไปถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง Fund flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย รวมไปถึงแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับลลดลง
  • กลยุทธ์การลงทุน หุ้นในพอร์ต 55% เลือก BAFS BEM BDMS BGRIM CENTEL GPSC ERW PTG SUSCO เป็นหุ้นเด่น – เราให้น้ำหนักหุ้นในพอร์ตที่ระดับ 50% Theme หุ้นที่น่าลงทุน เราเลือกหุ้นในกลุ่ม Defensive เราเลือก BDMS BH หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เราเลือก EA GULF GPSC BGRIM หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภค เราเลือก MAKRO CPALL HMPRO GLOBAL หุ้นในกลุ่มขนส่งในประเทศ เราเลือก BEM หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เราเลือก WHA AMATA และหุ้นใน Theme เปิดเมืองเปิดประเทศที่ยังน่าสนใจ เราเลือก AOT BAFS ERW AWC CENTEL MINT รวมไปถึงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี จากแนวโน้มกำไรที่จะกลับมาฟื้นตัวใน 4Q65 รวมไปถึง 2566 เราเลือก PTTEP TOP SPRC BCP PTTGC
  • ประเด็นที่น่าติดตาม รายงาน CPI ของญี่ปุ่น
    • 18 พ.ย. : ญี่ปุ่น – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ต.ค. (คาด 3.5%yoy เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ย. ที่ 3.0%yoy) / อังกฤษ – ดัชนียอดขายปลีก เดือน ต.ค. / สหรัฐฯ – ยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือน ต.ค.
  • ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ
    • ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการ ผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก เดือน พ.ย. ลดลงสู่ระดับ -19.4 จุด ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และต่ำกว่าที่ Market Consensus คาดไว้ที่ระดับ -6.0 จุด และลดลงในอัตราที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ เดือน ต.ค. ที่ระดับ -8.7 จุด ดัชนีภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงานดิ่งลงอย่างหนัก ขณะที่ภาคธุรกิจลดความเชื่อมั่นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ดัชนีปรับตัวต่ำกว่าระดับ 0 จุด บ่งชี้ว่าภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกอยู่ในภาวะหดตัว โดยหดตัวจาก 5 ใน 6 เดือนที่ผ่านมา
  • ปัจจัยทางเทคนิค – หุ้นแนะนำทางเทคนิค ได้แก่ SISB (แนวต้าน 21.0-21.4 / แนวรับ 20.0- 19.7 / Stop loss 19.0), PLANB (แนวต้าน 8.5-8.7 / แนวรับ 8.1-7.9 / Stop loss 7.7), OISHI (แนวต้าน 52.50-53.50 / แนวรับ 50.00-49.50 / Stop loss 47.50)
  • SET วานนี้ผันผวนในกรอบแคบ – SET วานนี้ (17 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 1,614.95 จุด ลดลง 5.03 จุด (-0.31%) มูลค่าการซื้อขาย 59,154,40 ล้านบาท (สูงสุด 1,619.05 จุด และต่ำสุด 1,611.28 จุด) SET เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเวลาของการซื้อขาย โดยตลาดขาดปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวของ SET ขณะที่ปัจจัยลบเดิมยังคงกดดันตลาดทั้งจากความกังวลสถานการณ์สงครามของรัสเซียและยูเครนอาจขยายวงกว้าง แม้ขีปนาวุธที่ตกในโปแลนด์ไม่ได้มาจากรัสเซียโดยตรง รวมไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีน ที่ยังไม่ฟื้นตัว

Core Investment

  1. หุ้นเปิดเมืองเปิดประเทศ (ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) เราเลือก AOT BAFS BEM SHR MINT MAJOR AMATA WHA PTG SUSCO
  2. Defensive (ซื้อขายระยะกลาง 3-6 เดือน) เราเลือก EGCO RATCH GULF BDMS BH BCH INTUCH AOT ADVANC
  3. กลุ่ม Commodity play (ซื้อขายระยะกลาง 3-6 เดือน) เราเลือก PTTEP BANPU PTT TOP SPRC BCP
  4. หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภค และค้าปลีก (ซื้อขายระยะกลาง 3-6 เดือน) MBK MAKRO CPALL CPN CRC BJC GLOBAL HMPRO
  5. หุ้นผู้ผลิตไฟฟ้า (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 6 เดือน) เราเลือก EA GULF BGRIM GPSC EGCO
  6. Dividend Play (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 6 เดือน) เราเลือก TISCO TVO KKP SC AP ORI
  7. DCA – หุ้นสะสมระยะยาว (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 1 ปี) เราเลือก AOT BEM GULF EA TVO INTUCH ADVANC BDMS BH HMPRO

ตลาดต่างประเทศ (อินโฟเควสท์):

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,546.32 จุด ลดลง 7.51 จุด (-0.02%) ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,946.56 จุด ลดลง 12.23 จุด (-0.31%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,144.96 จุด ลดลง 38.70 จุด (-0.35%) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับลดลง หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐจะยิ่งผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
  • ตลาดหุ้นยุโรป : ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 428.38 จุด ลดลง 1.79 (-0.42%) ตลาดหุ้นยุโรปปรับลดลง โดยถูกกดดันจากการลดลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งบดบังการพุ่งขึ้นของหุ้นซีเมนส์ซึ่งหนุนตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก

สินค้าโภคภัณฑ์ (อินโฟเควสท์):

  • ราคาน้ำมันดิบ : สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดที่ 81.64 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 3.95 เหรียญ (-4.6%) และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดที่ 89.78 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 3.08 เหรียญ (-3.3%) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปรับลดลง โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
  • ราคาทองคำ : สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดที่ 1,763 เหรียญต่อออนซ์ ลดลง 12.8 เหรียญ (-0.72%) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับลดลง เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ
  • ราคาถ่านหิน : ราคาถ่านหินตลาดล่วงหน้า (Newcastle) ส่งมอบเดือน ม.ค. 66 ล่าสุด ปิดที่ 313 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 3.85 เหรียญ (+1.25%)
  • ค่าระวางเรือ : Baltic Dry Index (BDI) ล่าสุดปิดที่ 1,228 จุด ลดลง 60 จุด (-4.66%)
- Advertisement -