บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: 

Thai Union Group (TU TB) ปรับคําแนะนําเป็น ถือ จาก Overhang ของ Red Lobster

ปรับลดประมาณการสะท้อนต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น

เราปรับคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น ถือ สะท้อนถึงความเสี่ยงจากผลประกอบการของ Red Lobster ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งทำให้ TU อาจต้องตั้งสำรองและบันทึกผลขาดทุนจากการขายกิจการ เรายังได้ปรับลดประมาณการกำไรของ TU ลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น เราประเมินมูลค่าหุ้นโดยอิง PE 10 เท่า (-0.75 SD) ปรับลงจากเดิมที่ 13.5 เท่า (Average PE 5 ปี) สะท้อนความไม่แน่นอนของการลงทุนใน Red Lobster ราคาเป้าหมายลดลงเป็น 15.60 บาท จากเดิม 21.80 บาท แต่หาก Overhang เรื่อง Red Lobster จบลงจะเป็นประเด็นบวกต่อ TU หุ้นในกลุ่มเกษตรและอาหาร เราแนะนำ SNNP ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท จากแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่ง

จะขาย Red Lobster หากผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

TU อยู่ระหว่างติดตามผลประกอบการของ Red Lobster 6-12 เดือน ภายใต้เงื่อนไขกับเจ้าหนี้ว่า Red Lobster ต้องทำ EBITDA ได้ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือน (เดือน ธ.ค. 2565 – พ.ค. 2566) ทั้งนี้ในไตรมาสล่าสุด Red Lobster มี EBITDA ประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งใกล้เคียงกับเงื่อนไขดังกล่าว ผู้บริหารคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นราคา ปรับเมนู และลดค่าใช้จ่าย ทำให้ส่วนแบ่งขาดทุนลดลงเหลือ 550-650 ล้านบาท จาก 1.21 พันล้านบาทในปี 2565

ผลกระทบหากผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้า…

ผลกระทบคือ 1) เจ้าหนี้ของ Red Lobster อาจยึดเงินค้ำประกัน ซึ่ง TU ค้ำประกันไว้ที่ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ TU กลายเป็นเจ้าหนี้ของ Red Lobster แทน ซึ่งเราคาดว่าไม่กระทบต่องบการเงิน ยกเว้นผู้สอบบัญชีให้ตั้งเป็นหนี้สงสัยจะสูญ โดยในกรณีแย่ที่สุดคือทั้งจำนวน 65 ล้านเหรียญฯ ซึ่งคิดเป็น 31% ของกำไร TU และ 2) TU ขาย Red Lobster ซึ่งหากขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ากิจการจะทำให้ TU ต้องบันทึกขาดทุน ทั้งนี้ TU เข้าซื้อ Red Lobster มูลค่า 575 ล้านเหรียญฯ เมื่อเดือน ต.ค. 2559 ซึ่ง TU รับรู้ผลขาดทุนมาต่อเนื่องกว่า 3 พันล้านบาท แต่มีการปืนทึกเงินปันผลจากหน่วยลงทุนบุริมสิทธิกว่า 5 พันล้านบาท

คาดการณ์ Red Lobster ขาดทุนลดลง

เราให้สมมติฐานว่า TU ยังไม่ต้องตั้งสำรองฯ และยังถือหน่วยลงทุนสามัญ 25% และหน่วยลงทุนบุริมสิทธิ 24% ใน Red Lobster ตามเดิม โดยรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนลดลงเป็น 900 ล้านบาทในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 3-4% สะท้อนต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยคาดยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้น 6% จากการเติบโตโดดเด่นของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่ม คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 62 bps เป็น 18.1% คาดกำไรปกติที่ 7.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YoY

- Advertisement -