KS Daily View 11.10.2023 >>> คาดดัชนีฟื้นตัวในกรอบ 1,440-1,465 จุด จาก Bond yield ที่ค่อยๆปรับตัวลดลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยและตราสารหนี้ หุ้นแนะนำ KTB, TISCO

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้

  • ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA +0.19%, S&P 500 +0.43%, NASDAQ +0.71%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Real estate (+2.01%), Utilities(+1.62%), Communication services (+1.08%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่ Energy (-1.35%), Consumer staples (-0.64%), Healthcare (-0.42%) เป็นต้น
  • ในประเทศ: SET Index +21.54 จุด หรือ +1.50% ปิดที่ 1,455.99 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ HANA (+7.85%), ESSO (+6.06%), TIDLOR (+4.52%) เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ CHG (-3.13%), AAV (-1.67%), CENTEL (-1.12%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวในกรอบ 1,440 – 1,465 จุดในวันนี้ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ที่ค่อยๆปรับลดลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากการที่ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยและตราสารหนี้ ขณะที่ตลาดยังจับตาข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศคืนนี้ หากสอดคล้องกับที่คาดการณ์หรือลดลงจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุนให้เลือกลงทุนในบริษัทที่ผลประกอบการเติบโตดีในไตรมาส 3 – 4/66 หรือมีโอกาส surprise ทางบวก

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. ตลาดได้แรงหนุนจากการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งบ่งชี้ว่ากรรมการเฟดส่วนหนึ่งสนับสนุนให้ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากการเปลี่ยนมุมมองที่ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึงแค่ไหนเป็นจะคงดอกเบี้ยนานเพียงใด
  2. ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้เศรษฐกิจไทยปี 67 ฟื้นต่อเนื่อง คาดจีดีพีโต 4.4% เชื่อมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตหนุนบริโภคโต ห่วงสงครามฮามาส-อิสราเอลดันน้ำมันแรง หวั่นภาระการคลังและกองทุนน้ำมัน แนะปรับมาตรการรับสถานการณ์จริง
  3. สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลุดระดับ 84 ดอลลาร์ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ไม่ขยายวง และซาอุดีอาระเบียยืนยันว่าจะใช้ความพยายามป้องกันการลุกลามของสถานการณ์การสู้รบดังกล่าว รวมทั้งจะสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยอิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมันเพียง 2 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันราว 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ปาเลสไตน์ไม่มีการผลิตน้ำมัน

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,425 – 1,460 จุด ในสัปดาห์นี้ โดย sentiment หุ้นไทยยังคงเปราะบางจากความกังวลเรื่องการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรเพิ่ม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น และสภาพคล่องในตลาดลดลงกระทบการระดมทุนของภาคเอกชน ซึ่งต้องรอความชัดเจนของการจัดหาแหล่งเงินทุนของทางภาครัฐในวันที่ 24 ต.ค. อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน สำหรับปัจจัยที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์นี้ได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง US 10Y bond yield และสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

หุ้นแนะนำวันนี้

  • Top pick: KTB (ราคาพื้นฐาน 24.75 บาท) ธ.กรุงไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 0.10-0.45% ต่อปี และขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% มีผลวันที่ 5 ต.ค. 2566 ซึ่งจะทำให้ NIM สูงขึ้นในไตรมาส 4/2566 ขณะที่ไตรมาส 3/2566 คาดกำไรสุทธิจะแตะระดับ 1.0 หมื่นลบ. เนื่องจากเราคาดว่า NIM จะสูงขึ้นจากอัตราเงินกู้มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นซึ่งชดเชย credit cost ที่สูงขึ้น คาดกำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นแข็งแกร่ง YoY จาก NIM ที่สูงขึ้นและสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ดีขึ้น คาด NPL ratio จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและคาด coverage ratio จะยังอยู่ระดับสูงอยู่ที่ 173%
  • Top pick: TISCO (ราคาพื้นฐาน 124 บาท) ธ.ทิสโก้ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 ที่ 1.87 พันลบ. (+1% QoQ และ +6% YoY) สอดคล้องกับที่เราและตลาดคาดไว้  สินเชื่อจากกลุ่มที่มีอัตราตอบแทนสูงเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/2566 คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงเล็กน้อย ตามที่เราคาดไว้ เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2566 จะยังทรงตัวหรือเติบโตขึ้นเล็กน้อย QoQ จาก NII และ non-NII ที่สูงขึ้น เรามองว่า TISCO เป็นหุ้นกลุ่มเงินปันผลที่โดดเด่นในกลุ่มธนาคารโดยคาดว่าอัตราตอบแทนเงินปันผลจะอยู่ที่ 7.8% ในปี 2566 เราเชื่อว่าการที่ TISCO เปลี่ยนนโยบายจ่ายเงินปันผลจากปีละครั้งและปีละ 2 ครั้ง เป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุน

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 3.6% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.7% YoY และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่4.1% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.3% YoY
  • วันศุกร์ เป็นวันหยุดธนาคารของไทย ขณะที่ฝั่งต่างประเทศมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเช่น จีนมีประกาศตัวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ 0.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.1% YoY และตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย. ตลาดคาดหดตัว 7.5% YoY แต่ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 8.8% YoY และปิดท้ายที่ฝั่งสหรัฐฯมีรายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่น University of Michigan (UOB) เดือนต.ค. ตลาดคาดปรับตัวลดลงแตะ 67.5 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 68.1 จุด
- Advertisement -