ที่ประชุม กนง. คงดอกเบี้ยระดับเดิม มองบวกสั้นๆ ต่อกลุ่มธนาคาร

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 1.09% หลังรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.15% หลังมีรายงานว่าบุตรชาย 3 คนของผู้นำกลุ่มฮามาสถูกกองทัพอิสราเอลสังหารในระหว่างปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซา

Market Outlook

เมื่อวานที่ผ่านมาที่ประชุม กนง. มีมติ 5 : 2 คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม โดย 2 เสียงเห็นว่าควรปรับลดดอกเบี้ย พร้อมระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นจากปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ภาคส่งออกยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเข้าสู่ช่วงกรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 24 และคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันสอดคล้องกับการรักษาเสถียนภาพเศรษฐกิจและการเงิน และเห็นว่านโยบายการเงินมีประสิทธิผล จำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่คณะกรรมการ 2 ท่านเห็นควรลดดอกเบี้ยเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ได้บ้าง โดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 24 จะขยายตัว 2.6%YoY และ 3%YoY ในปี 25 แรงหนุนมาจากท่องเที่ยวบริโภค และการลงทุนภาครัฐจะกลับมาในช่วงที่เหลือของปี แต่การส่งออกอาจขยายตัวได้บ้างแต่เผชิญความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้างส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีผลบวกจำกัดต่อภาคส่งออก ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อขยายตัว 3.5%YoY, 0.4%MoM สูงกว่า Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 3.4%YoY, 0.3%MoM พบว่าราคาที่เร่งตัวขึ้น MoM ได้แก่พลังงาน (+1.1%MoM) ราคาเบนซิน (+1.7%MoM) ราคาค่าขนส่ง (+1.5%MoM) ค่าบริการทางการแพทย์ (+0.6%MoM) ภายหลังจากทราบตัวเลขข้างต้นพบว่า US Bond Yield รุ่นอายุ 2, 10 ปี ปรับตัวขึ้นเด่นอย่างมีนัยยะพร้อมกับการแข็งค่าของ Dollar Index และกดดันบาทอ่อนเช้านี้ทดสอบ 36.7 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ CME FED Watch กลับมาให้น้ำหนักว่าประชุม FED เดือน มิ.ย. จะคงดอกเบี้ยด้วยน้ำหนัก 81% จากก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 42% ระยะสั้นมองเป็นบวกกับกลุ่มส่งออก (ITC TU) ตามการอ่อนค่าของเงินบาท และอีก ปัจจัยในประเทศรัฐบาลได้แถลงความคืบหน้า Digital Wallet พบว่าใช่วงเงินราว 5 แสนล้านบาทครอบคลุมประชากรกว่า 50 ล้านคน เงื่อนไขการใช้จ่ายหากเป็นประชาชนกับร้านค้ากำหนดให้ใช้กับร้านค้าขนาดเล็กตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้นแต่กลุ่มที่สองร้านค้ากับร้านค้าไม่มีกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายในเชิงพื้นที่และขนาดของร้านค้าระหว่างร้านค้ากับร้านค้าโดยจะเปิดลงทะเบียน 3Q24 และเริ่มใช้ในช่วง 4Q24 แต่ยกเว้นสินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการและออนไลน์ โดยรัฐบาลประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.2 – 1.6% เรามองบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) และ Digital IT (BBIK) ปัจจัยติดตามคืนนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.3%MoM และคนขอสวัสดิการว่างงานที่ 2.16 แสนราย วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1400 – 1420 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยสะสมได้แม้ดัชนีจะเริ่มปรับขึ้นมาแล้วเน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT) ศูนย์การค้า (CPN) ส่งออก (ITC TU) กลุ่มการเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) ส่วนระยะสั้นแนะนำเก็งกำไรในกลุ่มธนาคาร (BBL KBANK KTB)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

CPAXT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 41.00 บาท)

ไตรมาสที่ 1/2024 กลุ่มค้าปลีกได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโต 45% YoY ในช่วง YTD’2024 และมาตรการ Easy E-Receipt ของรัฐบาลในช่วง 1 ม.ค. 2024 – 15 ก.พ. 2024 ทำให้เราคาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ Makro ที่ +3.5% และ Lotus’s ที่ +5.0% ในช่วง 1Q24 คาดรายงานกำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 2.5 พันล้านบาท (+17%YoY, -23%QoQ)

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท)

คาดกำไรปกติ 1Q24 ที่ 5.0 พันล้านบาท (+32% YoY, -12%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.5% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +3.5% และ Lotus’s +5.0%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q24 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน

- Advertisement -