บล.กสิกรไทย:
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : เฉพาะภาคเอกชนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ
มีอะไรใหม่?
1) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศภาษีนำเข้าในอัตรา 37% แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ได้ปรับลดภาษีเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 3 เดือนเพื่อเปิดทางให้เกิดการเจรจา ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรปรับลดประมาณการเติบโตของ GDP ไทยจาก 2.4% เหลือ 1.4% โดยยังคงการลงทุนภาครัฐไว้แต่ปรับลดประมาณการการลงทุนภาคเอกชนลง
2) เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้รับเหมาภายใต้การวิเคราะห์ของเรา เนื่องจากไม่มีรายงานความเสียหายที่ไซต์งานของบริษัท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม
3) เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชำระเงินชดเชยจำนวน 4.2 พันลบ. ให้แก่กิจการร่วมค้า S.U. (STECON และ UNIQ) ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้า SRT สายสีแดง
- GDP เทียบกับ การก่อสร้าง จากข้อมูลในอดีตระหว่างปี 2536 ถึง 2567 ที่เปรียบเทียบระหว่าง GDP กับการใช้จ่ายในการก่อสร้างของภาคเอกชนและภาครัฐ เราพบว่าในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว การก่อสร้างภาครัฐมักเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเร่งใช้งบประมาณผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนมักชะลอลง ดังเช่นในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2551 และการระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 ดังนั้น โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่อยู่ในแผนไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง ขณะที่ภาคเอกชนมีแนวโน้มได้รับผลกระทบบางส่วน
- ผลกระทบ ผู้รับเหมาภายใต้การวิเคราะห์ของเราที่มีสัดส่วน backlog จากภาคเอกชนสูง มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่า จากองค์ประกอบของ backlog ระหว่างปี 2560–67 พบว่าสัดส่วน backlog ภาคเอกชนเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ PYLON (70%), STECON (54%), SEAFCO (50%) และ CK (34%) อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้รับเหมาทั้งหมดที่เราวิเคราะห์ backlog ปัจจุบันครอบคลุมรายได้ปี 2568 ได้มากกว่า 100% แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าไม่มีความเสี่ยงขาลงต่อกำไรในปี 2568 แต่ผลกระทบมีแนวโน้มจะสะท้อนในประมาณการรายได้ปี 2569 มากกว่า เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของงานก่อสร้างภาคเอกชนที่อาจเกิดขึ้น
- ข้อพิพาททางกฎหมายของ STECON ในปี 2564 กิจการร่วมค้า (JV) S.U. ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง STECON และ UNIQ ได้ยื่นฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับรายการเปลี่ยนแปลงงาน (VO) มูลค่า 4.2 พันลบ. โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้กิจการร่วมค้า S.U. ชนะคดี และให้ รฟท. ชำระเงินภายใน 60 วัน เราคาดว่า STECON จะรับรู้กำไรพิเศษจากรายการนี้ เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้บันทึกรายได้ค้างรับใด ๆ ณ ตอนนี้เรากำลังรอการยืนยันจากบริษัทเกี่ยวกับจำนวนเงินที่แน่นอน โดยหาก STECON ได้รับเงิน 50% ของมูลค่าทั้งหมด หรือ 2.1 พันลบ. จะสะท้อน upside ที่ 1.38 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 14% ของราคาเป้าหมายของเราที่ 9.87 บาท
- มุมมองเชิงบวก เรายังคงมุมมอง “เชิงบวก” ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากความคาดหวังว่ากำไรของกลุ่มนี้จะกลับมาเติบโตในปี 2568 โดยคาดว่ากำไรจะฟื้นตัว QoQ ในไตรมาส 2–3/2568 และยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 4/2568 จากการสนับสนุนของ backlog ที่มีอยู่ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ถนนพระราม 2 ยุบตัว และอุบัติเหตุอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่ม ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพงานก่อสร้าง ดังนั้นเรามองว่าในการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การแข่งขันอาจลดลง เนื่องจากผู้รับเหมาที่มีประวัติงานที่ไม่ได้มาตรฐานอาจประสบปัญหาในการผ่านคุณสมบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นของทางราชการ
หุ้นเด่น
- CK “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 20.60 บา
- SEAFCO “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 3.43 บาท