บริษัทวายแอลจีบูลเลี่ยนแอนด์ฟิวเจอร์ส
คำแนะนำ
เน้นเก็งกำไรฝั่งซื้อ โดยเข้าซื้อ หากราคาอ่อนตัวลงแบะสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,787-1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อลงทุนระยะสั้น ทยอยขายบางทำกำไรหากราคาไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,815-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองคำ
แนวรับ 1,787 1,774 1,766
แนวต้าน 1,815 1,831 1,846
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.04 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงการซื้อขายในตลาดเอเชีย โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อตามทางเทคนิคหลังจากราคาทะลุผ่านแนวต้านสำคัญและแนวต้านจิตวิทยาบริเวณ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มในช่วงการซื้อขายของตลาดสหรัฐ หลังการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)ภาคบริการซึ่งคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐที่ชะลอตัวลงเกินคาดในเดือนมิ.ย.
สถานการณ์ดังกล่าวกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีให้ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ 1.346% จนเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอแบทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,814.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวัน ก่อนที่ราคาทองคำจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรในเวลาต่อมา
ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรหลังการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจในฝั่งยูโรโซนที่ย่ำแย่เกินคาด อาทิ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีที่ลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนก.ค. ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าในภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีร่วงลงถึง 3.7% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่การล็อกดาวน์ครั้งแรกในปี 2020 จึงเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำลดช่วงบวกลงมาปิดตลาดต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองลดลง -0.35 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผย JOLTS Job Openings พร้อมจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC Meeting Minutes ประจำเดือนมิ.ย.เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต
ปัจจัยทางเทคนิค
หลังจากมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา ราคากลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ หากราคาอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับบริเวณ 1,787 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สามารถยืนได้แข็งแกร่ง ยังคงมีโอกาสราคาทองคำขึ้นไปทดสอบแนวต้านในโซน 1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้จะขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปโซน 1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้านแรกไม่ได้ อาจเกิดแรงขายเพิ่มขึ้นกดดันมาเข้าใกล้ 1,787-1,774 ดอลลาร์ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน
เปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,787-1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์) แต่หากราคาปรับตัวขึ้นตัวให้พิจารณาบริเวณ 1,815-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะซื้อทำกำไร แต่หากผ่านโซนดังกล่าวแนะนำให้ชะลอการขายออกไป
ข่าวสารประกอบการลงทุน
(+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 208.98 จุด จากแรงขายหุ้นพลังงาน-หุ้นแบงก์ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ดิ่งลงหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก และหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลดลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,577.37 จุด ลดลง 208.98 จุด หรือ -0.60% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,343.54 จุด ลดลง 8.80 จุด หรือ -0.20% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,663.64 จุด เพิ่มขึ้น 24.32 จุด หรือ + 0.17%
(+) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐชะลอตัวในเดือนมิ.ย. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ อยู่ที่ระดับ 64.6 ในเดือนมิ.ย. ลดลงจากระดับ 70.4 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นเดือนมิ.ย.ที่ 64.8 อยู่เล็กน้อย
(+) ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐลดลงเกินคาดในเดือนมิ.ย. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 60.1 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 64.0 ในเดือนพ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 63.5
(+) อิสราเอลเผยวัคซีนไฟเซอร์ประสิทธิภาพลดลง ขณะผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งทำสถิติ กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลเปิดเผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อโควิดลดลงมาอยู่ที่เพียง 64% ในการใช้งานจริง เมื่อเทียบกับอัตราประสิทธิภาพที่ 95% ในการทดลองทางคลินิกเมื่อปี 2563 อย่างไรก็ดี กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลยังระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทางทวิตเตอร์ด้วยว่า วัคซีนไฟเซอร์ยังคงมีประสิทธิภาพสูงถึงราว 93% ในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิด-19
(+) อังกฤษเล็งยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ฉีดวัคซีนโควิดครบแล้ว รัฐบาลอังกฤษเตรียมยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบแล้ว โดยจะเริ่มในช่วงกลางเดือนส.ค.เป็นต้นไป ขณะที่อังกฤษกำลังเตรียมยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ ปัจจุบัน ผู้ที่ได้รับแจ้งว่าได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก จะต้องกักตัวเพื่อดูอาการเป็นเวลา 10 วัน โดยนายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบทั้งสองโดสแล้วจะไม่จำเป็นต้องกักตัวในกรณีดังกล่าว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.นี้เป็นต้นไป
(-) สำนักงบประมาณอังกฤษชี้เงินเฟ้อพุ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้หนี้สาธารณะ นายริชาร์ด ฮิวส์ ประธานสำนักงบประมาณ (OBR) ของอังกฤษได้แสดงความคิดเห็นว่า ภาวะเงินเฟ้อในอังกฤษที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันนั้น คาดว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ดี ภาวะดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อหนี้สาธารณะมูลค่า 2 ล้านล้านปอนด์ของอังกฤษได้
(-) ยูโรอ่อนค่า หลังเยอรมนีเผยข้อมูลเศรษฐกิจซบเซา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) หลังมีรายงานว่ายอดสั่งซื้อสินค้าในภาคการผลิตของเยอรมนีร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนมิ.ย.ในวันนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.37% แตะที่ 92.5490 เมื่อคืนนี้ ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1823 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1868 ดอลลาร์
ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3800 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3852 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7496 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7531 ดอลลาร์ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9247 ฟรังก์ จากระดับ 0.9219 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2461 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2334 ดอลลาร์แคนาดา แต่เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 110.61 เยน จากระดับ 110.89 เยน
(+/-) ไบเดนรุกหนักแผนแจกจ่ายวัคซีนรับมือโควิดกลายพันธุ์เดลตา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ คาดชาวอเมริกัน 160 ล้านคนจะฉีดวัคซีนครบโดสในปลายสัปดาห์นี้ พร้อมเชิญชวนชาวอเมริกันให้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 ในระหว่างที่โควิดกลายพันธุ์เดลตา กลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลในสหรัฐฯ
ตามรายงานของรอยเตอร์ ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวในวันอังคาร ยืนยันว่าสหรัฐฯ จะไปถึงเป้าหมายที่ชาวอเมริกัน 160 ล้านคนทั่วประเทศ ได้รับวัคซีนครบโดส ในปลายสัปดาห์นี้ พร้อมทั้งกระตุ้นให้ชาวอเมริกันเข้ารับวัคซีนโควิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์เดลตาที่ระบาดในวงกว้างขณะนี้ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่คือผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิดในประเทศ ซึ่งทางผู้นำสหรัฐฯ บอกว่า ผู้ติดเชื้อโควิดกว่าครึ่งหนึ่งในตอนนี้ เป็นโควิดสายพันธุ์เดลตาทั้งสิ้น
ที่มา: VOATHAI, อินโฟเควสท์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ryt9