รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ระวังผลกระทบรายหุ้นจากล็อคดาวน์ที่ไม่เรียกล็อคดาวน์
ศบค.เตรียมพิจารณาข้อเสนอล็อคดาวน์ที่เข้มข้นไม่น้อยกว่าปีก่อน วันนี้ 10.00 น. กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้นในระดับใกล้เคียงเม.ย.63 ได้แก่ 1) ล็อคดาวน์พื้นที่เสี่ยงและพื้นที่กันชนอย่างน้อย 14 วัน 2) จำกัดการเดินทาง งดการออกจากเคหสถานโดยไม่จำเป็น 3) อนุญาตให้ออกจากบ้านเพื่อซื้ออาหาร พบแพทย์ หรือฉีดวัคซีน เท่านั้น 4) เสนอมาตรการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด 5) เสนอปิดสถานประกอบการเพิ่มเติม ยกเว้นตลาดและซูเปอร์มาร์เก็ต 6) เร่งฉีดวัคซีนทั้งใน กทม.และปริมณฑล

เราประเมินว่ามีแนวโน้มที่ ศบค. จะประกาศใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและลดการสัมผัส เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบสาธารณสุข ทำให้ต้องระวังอาจมีการสั่งปิดห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, สถานประกอบการที่ได้รับการผ่อนคลายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะกระทบต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกอง REITs/Infrastructure fund ที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกันคาดธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก (SME) รวมถึงลูกหนี้จำนวนหนึ่งจะไม่สามารถยื้อต่อไปได้ และจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้าง หรือกลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งจะกระทบต่อกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินได้

จากหลายปัจจัย ทำให้เรายังคงมองความเสี่ยงทางลงที่ 1,450-1,520 จุด ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 29 มิ.ย.) เราย้ำหลายครั้งถึงหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบตลาดในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะจาก Valuation ของหุ้นไทยที่ตึงตัว ซึ่งหากเกิดสถานการณ์เงินทุนไหลออก (การปรับพอร์ตของนักลงทุนก่อนสหรัฐฯ เริ่มลด QE) หรือเหตุการณ์ทำให้โอกาสปรับเพิ่มประมาณการลดลง (อย่างเช่น เศรษฐกิจโลกเริ่มโตชะลอ หรือการระบาดที่ยืดเยื้อ) จะส่งผลกระทบต่อมุมมองความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้น และ trigger ให้เกิดแรงขายทำกำไรอย่างรวดเร็วได้

   เรายังคงน้ำหนักเงินสดที่ 60% เพื่อเตรียมเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม โดยประเมิน SET Index มีแนวรับสำหรับเก็งกำไรระยะสั้นที่ 1,530 และ 1,510 จุด

ธีมลงทุนที่น่าสนใจ เรามองนักลงทุนควรมีหุ้นปลอดภัยหรือหุ้นที่ยังมีการถือครองโดยนักลงทุนต่ำ (under-owned) ผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับลดลง จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หุ้นในกลุ่มปลอดภัยและปันผลสูง มีโอกาสฟื้นตัว และเป็นแหล่งพักเงินที่ดี เน้นทยอยสะสสมเมื่ออ่อนตัวใน หุ้นปันผลและกองรีทส์ ADVANC, AIMIRT, WHART, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อน เป็นบวกต่อกลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF // เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL

ภาพรวมกลยุทธ์: หากลงต่อในโซน 1510-1530 จะเข้าสู่โซนเสี่ยงซื้อที่มีโอกาสลุ้นฟื้นตัว ในระยะสั้น ภาพรวมยังเน้นบริหารความเสี่ยง และปรับสมดุลให้ในพอร์ตมีเงินสดมากพอหากโอกาสซื้อเกิดขึ้น // หุ้นแนะนำ: EASTW*, BDMS*, TTA*
แนวรับ: 1,510-1,530/ แนวต้าน : 1,550 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน
ECB ปรับเป้าเงินเฟ้อ-ร่วมแก้โลกร้อน. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2% (จากเดิมให้ไม่เกิน 2%) พร้อมเปิดเผยบทบาทใหม่ของทางธนาคารในการร่วมมือแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งถือเป็นการยกเครื่องนโยบายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 23 ปีของการก่อตั้ง ECB
IMF เตือนเงินเฟ้อพุ่ง เสี่ยงเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย.

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยว่าการที่รัฐบาลสหรัฐฯเดินหน้าใช้มาตรการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ พร้อมเตือนความเสี่ยงที่ราคาผู้บริโภคพุ่งขึ้นต่อเนื่องอาจผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด

สต็อคน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 6.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 4 ล้านบาร์เรล

บอนด์ยีลสหรัฐดิ่งต่ำสุดในรอบ 5 เดือน. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ดิ่งแตะ 1.25% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ไทยเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดเป็นประวัติการณ์. ม.หอการค้า เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน มิ.ย. ปรับตัวลดลงมาที่ 43.1 จากระดับ 44.7 โดยทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่ทำการสำรวจในเดือน ต.ค.41 เป็นต้นมา จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกสาม รวมถึง เสถียรภาพการเมืองไทยที่ต่ำลง

ประเด็นติดตาม: – 9 ก.ค.: ECB President Lagards Speaks
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -