Top Pick เลือก ADVANC, BDMS, MCS

SET Index พยายามดีดตัวกลับ แต่แรงขับเคลี่อนมีเพียง Sentiment เชิง บวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่แรงกดดันอันเนื่องมาจากสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศยังมีน้ําหนักค่อนข้างมาก โดยวันนี้จํานวนผู้ติดเชิ้อใหม่ในประเทศยังเดินหน้าทํา New High กว่า 1.36 หมื่นคน นํามาซึ่งความกังวลเรื่องมาตรการควบคุมท่ีเข้มงวดข้ึน อันจะหมายถึงการจํากัดกิจกรรมทาง เศรษฐกิจล่าสุดมีการปิดกิจการเพิ่ม 10 ประเภท สําหรับข้อเสนอจากภาคเอกชน (40 CEO) น้ําหนักไปที่การหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น นําช้อปดีมีคืนกลับมากระตุ้นให้เอกชนลงทุนผ่านแรงจูงใจของ BOI แต่ท้ังหมดนี้จะเริ่มต้นได้หลังจากที่สถานการณ์ Covid-19 ในประเทศคลี่คลาย

SET Index น่าจะพยายาม Rebound แต่ยังเกิดขึ้นได้จํากัด กรอบ 1530 – 1560 จุด พอร์ตจําลองไม่มีการปรับเปลี่ยน คงน้ําหนักเงินสดอยู่ที่ 20% Top Pick เลือก ADVANC, BDMS และ MCS ตามเดิม

ราคาน้ํามันดิบฟื้นตัว เป็น Sentiment บวกช่วงสั้นๆ

ตลาดหุ้นต่างประเทศโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวต่อเป็นวันท่ีสอง โดย ASPS มองเป็นเพียงการ Technical Rebound หลังจากปรับฐานแรงในช่วงต้นสัปดาห์เพราะความกังวลการระบาดของ COVID-19 สายพันธ์ุ Delta ยังคงอยู่

ส่วนราคาน้ํามันดิบโลกปรับตัวข้ึนแรงเป็นวันท่ี 2 สะท้อนจากน้ํามัน Brent ข้ึนราว 4.1% สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานท่ีโดนกดดันจากฝั่ง Supply ท้ัง OPEC+ตกลงกันจะเพิ่มกําลังการผลิต 4 แสนบาร์เรล ตั้งแต่เดือน ส.ค.64 และ เมื่อวานน้ี EIA รายงานสต็อคน้ํามันดิบเพิ่มข้ึน 2.11 ล้านบาร์เรล สวนทางกับตลาดคาดจะลดลง 4.47 ล้าน บาร์เรล ASPS จึงมองว่าการปรับเพิ่มข้ึนของราคาน้ํามันดิบจึงเป็นเพียงการเก็งกําไร หรือ Technical Rebound ช่วงสั้นๆ ส่งผลให้ Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มน้ํามัน (PTTEP (FV@B144) และ PTT (FV@B48.50)) ค่อนข้างจํากัด โดยระยะสั้น แนะนํา ชะลอลงทุน แต่ในระยะกลาง-ยาวหาจังหวะทยอยสะสมได้

ส่วนประเด็นสําคัญที่ให้น้ําหนักในช่วงท่ีเหลือของสัปดาห์ ในต่างประเทศ ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันที่ 22 ก.ค. 2564 และการรายงานดัชนี PMI ภาค การผลิต เดือน มิ.ย. 2564 ของสหรัฐ และยุโรป วันที่ 23 ก.ค. 2564

ส่วนในประเทศให้น้ําหนักการรายงานยอดส่งออกและนําเข้า เดือน มิ.ย. 2564 คาด แนวโน้มจะออกมาขยายตัวต่อ และเช่ือว่าหุ้นกลุ่มส่งออกจะยังได้ Sentiment บวก โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกอาหารแนะนํา NER, STA, TU, TFG, กลุ่มยานยนต์ SAT, ส่งออกโครงสร้างเหล็ก MCS, ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KCE, DELTA, HANA ราคาหุ้นสูงกว่า Fair Value แนะนําเพียงเก็งกําไร

ผู้ติดเชื้อ Covid ไทยวันน้ียังทํา All time High ส่วนวัคซีนไทยเตรียมเข้าโครงการ COVAX ของ WHO

ปัจจัยในประเทศ ยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยวันน้ีและช่วงท่ีเหลือของสัปดาห์ หลักคือ

  1. จํานวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยเพิ่มขึ้นทําจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) อย่างต่อเนื่อง โดยวันน้ีพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 13,665 ราย สูงกว่าวันก่อนที่ 13,002 ราย และสูงกว่าระดับ 1 หมื่นราย ต่อเนื่องเป็นวันท่ี 6
  2. ความกังวลว่าจะมีรัฐบอาจจะขยายการ Lockdown ในจังหวัดต่างๆมากขึ้น หรือ อาจ Lockdown โดยใช้ Model อู่ฮั่น Model

อีกฝั่งนึงคือ การฉีดวัตซีน : แนวโน้มการฉีดช่วงที่ผ่านมาอยู่ราว 2-2.5 แสนโดสต่อวัน และการจัดหาวัคซีน COVID-19 วานน้ี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติเผยว่ากําลังพิจารณาเข้าร่วมโครงการจัดสรรวัคซีน COVAX (COVID-19 Vaccines Global Access) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม และให้มีความหลากหลายมากข้ึน เช่น วัคซีน mRNA (Pfizer, Moderna), วัคซีน Protein subunit (Novavax) เป็นต้น โดยมีเป้าหมายส่งมอบใน 1Q65 รัฐท่ีต้ังเป้าไว้จํานวน 150 ล้านโด สภายในปี 2565 อย่างไรก็ตาม

เป็นท่ีสังเกตว่า วัคซีนจาก COVAX มีเป้าส่งมอบภายใน 1Q65 ซึ่งยังไม่สอดคล้อง (Mismatch) กับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ท่ีระบาดในปัจจุบัน ASPS จึง มองว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะกลางตลาดจะถูกกดดันต่อ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่ีได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง เช่น ท่องเท่ียว, ขนส่ง, ค้าปลีก, ก่อสร้าง, บันเทิง, ศูนย์การค้า เป็นต้น

ข้อเสนอ 40 CEOs พลัส ที่หารือนายกฯ เมื่อวานน้ีประเมินเป็นเพียง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้น …

เมื่อเย็นวานน้ี ผลข้อสรุปการประชุมของ นายกฯหารือ 40 CEOs พลัส ร่วมกับหอการค้าไทย เสนอ 4 เรื่องเร่งด่วน แก้ปัญหาท่ีมาจาก Covid 19 อาทิ

1.) การควบคุมการแพร่ระบาด อาทิ การเร่งฉีดวัคซีนและจัดหายาให้เพียงพอ การเร่งใช้ชุดตรวจ Rapid Tests อย่างทั่วถึง

2.) การเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชน และเร่งรัดการเจรจาเพื่อนําเข้าแรงงาน ต่างด้าว MOU จํานวน 500,000 ราย

3.) การฟื้นฟูประเทศไทย อาทิ มุ่งพัฒนาอุตสหกรรมที่ได้ประโยชน์ในอนาคต เช่น เกษตรสมัยใหม่ ท่องเท่ียวคุณภาพสูง การศึกษายุคใหม่

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่เก่ียวข้องกับ บริษัทจดทะเบียนในตลาดคือ ข้อท่ี 4 คือ มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ี 40 CEO เสนอท่ีมุ่งเน้นไปตามฟันเฟืองขับเคลื่อน เศรษฐกิจซึ่งเป็นมาตรการคล้ายเดิมไม่ได้ Surprise ประเมินน่าจะเกิดกระแสเชิงบวก ช่วงสั้นกับหุ้นท่ีเกี่ยวข้อง ไล่เรียงต้ังแต่

  • การบริโภคครัวเรือน (มุ่งเน้นไปที่ ผู้ที่มีกําลังซื้อ ระดับกลาง บน) คือ เสนอ มาตรการ “ช็อปดีมีคืน” เสนอปรับเพิ่มวงเงินมากกว่ารอบก่อนหน้า คือ ข้ึนมา ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทโดยฝ่ายวิจัย ASPS ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อ กลุ่มค้าปลีกโมเดิร์นเทรด ท่ีมีโอกาสเห็นแรงหนุนจากมาตรการรัฐมากขึ้น ต่อ เนื่องากมาตรการย่ิงใช้ยิ่งได้ โดยเฉพาะร้านค้าปลีกท่ีมียอดขายต่อใบเสร็จ (Ticket Size) กลาง-สูง ทั้งกลุ่มร้านมือถือ JMART, COM7, SPVI กลุ่มสินค้า แฟชั่น CRC รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และปรับปรุงบ้าน ILM, HMPRO, DOHOME ทั้งน้ี ยังต้องติดตามความชัดเจนจากรัฐบาลต่อไป
  • การลงทุน เสนออยากให้ได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ท่ีต่ำพิเศษจากสถาบันการเงิน , สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาล และ BOI คาดหุ้นกลุ่มนิคิม และบริษัทที่มีการลงทุนจะได้ประโยชน์
  • การเบิกจ่ายรัฐ เสนอเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ประเมินเป็นเพียงกระแสบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

กลุ่มธนาคารคลื่นลมยังแรง แต่เชื่อผ่านไปได้

ภาพรวมกําไรสุทธิกลุ่มฯ งวด 2Q64 (8 ธนาคาร) ใกล้เคียงคาด เท่ากับ 5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 9.7% QoQ (+70% yoy จากฐานต่ำงวดปีก่อน) หนุนด้วยรายได้ท่ีมิใช่ดอกเบี้ย เนื่องจาก BAY มีการขายเงินลงทุนใน TIDLOR ในงวดท่ีผ่านมา ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หากไม่รวมกําไรสุทธิกลุ่มฯ จะอยู่ท่ีประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท ลดลง ราว 8% QoQ จาก Credit Cost กลุ่มฯ สูงขึ้นมาที่ 1.65% เทียบกับ 1.48% ในงวดก่อน จากการตั้งสํารองเพิ่มในส่วนของ BAY (+16bps), BBL (+57bps), KBANK (+32 bps), KKP (+15 bps) ทั้งเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคตและ NPL ที่เกิดขึ้นจริง ขณะท่ี KTB, SCB และ TTB พบว่า Credit Cost ทรงตัว ส่วน TISCO รายงาน Credit Cost ลดลง 46bps เนื่องจากได้มีการต้ังสํารองมาอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ปี 2563 (งวด 1Q64 เป็นธนาคารเดียวท่ีตั้ง Credit Cost เพิ่ม QoQ) ในขณะที่การดําเนินงานอย่าง รายได้ดอกเบี้ยรับฯ ทรงตัวจากงวดก่อน ตามฐานสินเช่ือที่เพิ่มราว 2% จากสิ้นงวดก่อน ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมฯ เป็นไปในทิศทางชะลอตัว 8% QoQ ตามสภาพเศรษฐกิจ ยกเว้น KKP ท่ีรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ฟื้นเด่นจาก IB FEE

ทั้งนี้ ธ.พ. ท่ีรายงานกําไรดีกว่าคาดนําโดย KTB ดีกว่าคาด 21% จากค่าใช้จ่าย ดําเนินงานต่ำกว่าคาด ตามด้วย SCB และ BBL ราว 10% และ 6% ตามลําดับ จากรายการวัดมูลค่าเงินลงทุน (FVTPL) ส่วน ธ.พ. ท่ีเหลือ รายงานกำไรตามคาด โดยรวมกําไรสุทธิกลุ่มฯ 1H64 เท่ากับ 9.6 หมื่นล้านบาท (+29% yoy) คิดเป็นสัดส่วน 60% ของประมาณการกําไรกลุ่มฯ ปี 2564 เชื่อว่าสอดคล้องกับภาพทางเศรษฐกิจไทยในช่วง 2H64 ท้ังจากการ Lock down ที่ส่งผลถึงรายได้ค่าธรรมเนียมฯ และระดับสํารองท่ีไม่ได้ลดลงเร็วนัก เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ มูลหน้ี NPL กลุ่มฯ ปรับเพิ่ม 2% จากสิ้นงวดก่อน เท่ากับ 5.35 แสนล้านบาท ยังพอประคองตัวได้หลัง ธ.พ. อย่าง KBANK, SCB มีการบริหารจัดการ NPL ผ่านการ Write – off และขาย NPL ประกอบกับฐานสินเชื่อท่ีใช้ในการคํานวณ NPL ขยายตัว 2% ภาพรวมทําให้ NPL/Loan ยังคงทรงตัวจากสิ้นงวดก่อนท่ี 4.04% ขณะที่การเร่งตั้ง Credit Cost ของกลุ่มฯ เพิ่มข้างต้น รักษาระดับ Coverage Ratio กลุ่มฯ อยู่ท่ี 154.8% โดยรวมฝ่ายวิจัยเชื่อแนวโน้ม NPL กลุ่มฯ ทยอยปรับเพิ่มข้ึนในช่วงที่เหลือของปี แต่น่าจะอยู่ในการบริหารจัดการผ่านนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. ซึ่งจะทําให้ ธ.พ. มีระยะเวลาในการประเมินความเสี่ยงลูกหน้ี หรือ ปรับโครงสร้างหน้ี และต้ังสํารองให้เหมาะสมกับ Credit Risk ของลูกหนี้

คงน้ําหนักเท่าตลาดราคาหุ้นในกลุ่มฯ ปรับฐานมี PBV ซื้อขายราว 0.5 – 0.6 เท่า เชื่อว่าเป็นจุดทยอยสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ใน ธ.พ. ใหญ่ ชอบ KBANK(FV@B145), SCB(FV@B115) มองว่าภายหลังการ Recovery ของเศรษฐกิจ การบริหารต้นทุนและการเสริมช่องทาง Digital จะเป็นปัจจัยหนุน ต่อกําไรก่อนต้ังสํารอง (PPOP) และระดับสํารองลดลง ส่วน ธ.พ. ขนาดกลาง – เล็ก เลือก TISCO(FV@B102) จากงบดุลท่ีใกล้เคียงความจริงมากสุดและมีนโยบาย สินเช่ืออนุรักษ์นิยม สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมี Coverage ratio สูงถึง 214% ณ สิ้นงวด 2Q64 พร้อมคาดหมาย Div yield ราว 6% – 7% ต่อปี (จ่ายปี ละครั้ง)

“ส่วนการเลือกหุ้นลงทุนในช่วงน้ี ถ้าเลือกหุ้นท่ีมีงบการเงินงวด 2Q64 ดีอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากช่วง 3Q64 เศรษฐกิจกลับมาเผชิญ COVID-19 ท่ีรุนแรง และมีการใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้งดังน้ันฝ่ายวิจัยฯแนะนําเลือกหุ้นที่ทั้งงบ 2Q64 ดี และงวด 3Q64 ปลอดภัยเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาด น่าจะเหมาะสมข้ึน” โดยคัดกรองผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

  1. เป็นหุ้นท่ีทํา Earning Preview งบ 2Q64 ออกมาดี (เติบโต yoy หรือ qoq)
  2. เป็นหุ้นท่ีถูกผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกใหม่จํากัด อาทิ กลุ่ม ICT, กลุ่มร.พ., กลุ่ม Packaging รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า รวมถึงหุ้นปันผลสูงที่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล
  3. เป็นหุ้นท่ีมี Upside > 0 และฝ่ายวิจัยฯ แนะนําซื้อ

- Advertisement -