Daily Focus

Value and Reopening Play

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัวในแดนบวกได้เพียง 5 จุดในช่วงแรกของการซื้อขาย หลังจากนั้นแกว่งตัว Sideway down ตลอดทั้งวัน ลงไปต่ำสุดลบ 16 จุด ก่อนจะบาวด์ขึ้นมาปิดลบไป 13.53 จุด กลุ่มเปิดเมืองไม่ว่าจะเป็น แบงก์ โรงกลั่น พลังงาน ถูกขายทำกำไร นักลงทุนต่างชาติขายทั้ง 3 ตลาด โดยขายสุทธิในตลาดหุ้น 1.6 พันลบ. (และ Short Index Futures 1.47 หมื่นสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 อีก 3.1 พันลบ.

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาด SET Index พลิกมาแกว่งตัว Sideways to Sideways down ในกรอบ 1,620-1,638 / 40 จุด ตลาดยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ นอกเหนือจากการโฟกัสที่ผลประกอบการ 3Q21 ของบริษัทจดทะเบียนและการประชุมนักวิเคราะห์ที่ตามมา โดยกลุ่มธนาคารจะรายงานทั้งหมดใน 1-2 วันนี้ หากดีกว่าคาดอาจช่วยหนุนตลาดได้ นอกเหนือจากกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมัน และกลุ่มโรงพยาบาลที่เริ่มเห็นแรงซื้อวานนี้ กลยุทธ์ยังเน้นถือลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value และ Reopening Play โดยเฉพาะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ และ Laggard SET Index เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมี COVID-19 ได้แก่ กลุ่มธนาคาร พลังงาน/โรงกลั่น ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว รับเหมาฯ

กลยุทธ์: เน้นเก็งกำไรและลงทุนในหุ้น Value และ Reopening Play

หุ้นเด่นเดือน ต.ค.: CFRESH, CK, KBANK, KCE, ORI

หุ้นเด่นวันนี้: FSMART

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.50 บาทต่อยอดตู้บุญเติม ซึ่งเป็นฐานของธุรกิจสร้างรายได้ราว 2.7 พันลบ. ต่อปีด้วย New S Curve คือ ตู้เต่าบินซึ่งไม่มีคู่แข่งในตลาด บริษัทตั้งเป้าขยายตู้ TAOBIN 20,000 ตู้ภายในปี 2023 โดยตั้งเป้า 1,000 ตู้ในปี 2021
  • คาดกำไรปี 2021 ที่ 430 ลบ. -7.4% Y-Y แต่คาดกลับมาโตสูงเฉลี่ย 43% CAGR ในช่วงปี 2022-25 จากการกลับมาของตู้บุญเติม และเสริมทัพด้วยตู้เต่าบิน
  • แนวรับ 10.60-10.40 บาท แนวต้าน 11-11.20 // 11.60-12 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินยังคงไหลเข้าภูมิภาค และเร่งตัวขึ้นอีก US$ 551 ล้าน แต่ทิศทางเปลี่ยนมาไหลเข้าไต้หวัน (US$ 469 ล้าน) และเกาหลีใต้ (US$ 115 ล้าน) และขายตลาดอาเซียน คือ ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ส่วนอินโดนีเซียซื้อน้อยลงเป็น US$ 36 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังไหลเข้าแต่เบาบาง นักลงทุนจับตาดูการประกาศผลประกอบการ 3Q21 ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก

ประเด็นสําคัญวันนี้

(+) Sector ใดจะมีกำไร 3Q21 แข็งแรง ท่ามกลางการ Lockdown ผลประกอบการส่วนใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะหดตัวลง โดยเฉพาะ Q-Q อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่คาดว่าจะสามารถมีกำไรอยู่ในเกณฑ์ดีและแข็งแรง ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ การเดินเรือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มขายสินค้า IT รวมถึง Commodity อย่างถ่านหินรวมถึงหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นที่เราชอบและสามารถเก็งกำไรได้ ได้แก่ CHG BCH EKH KCE SMT SYNEX IIG TKS BANPU GULF TACC UVAN CFRESH

(+) กลุ่มธนาคาร หลังจาก TISCO KKP ประกาศกำไรออกมาค่อนข้างดี ธนาคารที่เหลือจะประกาศกำไรทั้งหมดใน 2 วันนี้ ซึ่งคาดการณ์ทั้งกลุ่มสำหรับ 3Q21 ไม่สดใส -16% Q-Q, +30% Y-Y จากผลกระทบของ COVID-19 ระลอก 3 แต่เชื่อว่าตลาดจะมองข้ามและให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวใน 4Q21-2022 ตามเศรษฐกิจที่ฟื้น โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การปรับโครงสร้างหนี้ร วมถึง Digital Transformation ซึ่งเป็นบวกในระยะยาว Top Pick ยังเป็น SCB (ราคาเป้าหมาย 158 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมาย 168 บาท)

(+) TACC คาดกำไร 3Q21 -8% Q-Q, +6% Y-Y ค่อนข้างดีแม้ถูกกระทบจาก COVID-19 และ Low Season แนวโน้มกำไร 4Q21 คาดเร่งตัวขึ้นหลังคลาย Lockdown และเดินหน้าขยายฐานลูกค้า Non 7-11 มากขึ้น ล่าสุดอยู่ระหว่างพัฒนาแผนธุรกิจร่วมกับ Bon Café ซึ่งต้องการเพิ่มรายได้กลุ่ม Non-Coffee และเป็นสิ่งที่ TACC เชี่ยวชาญ คาดเห็นผลบวกชัดเจนใน 1H22 รวมถึงมีแผนออกสินค้าใหม่ ทั้งเครื่องดื่ม, Health & Wellness และผลิตภัณฑ์กัญชง ควบคู่กับการเติบโตไปพร้อมกับ 7-11 ทั้งในไทย กัมพูชา และลาว เราปรับลดกําไรปี 2021 ลงเล็กน้อย แต่ยังคาด +9% Y-Y และคาดปี 2022 เร่งตัว +21% Y-Y ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 9.50 คงค่าแนะนํา “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 198.70 จุด หรือ 0.56% ปิดที่ 35,457.31 จุด หนุนจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และเทคโนโลยี รวมถึงรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อาทิ บริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน กําไร 3Q21 ออกมาสูงกว่าคาด

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัย และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐ

(+) ตลาดเอเชียปรับขึ้นตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ ท่ามกลางติดตามธนาคารกลางจีนกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR และรายงานดัชนีราคาบ้านเดือนก. ย. ของจีนในเช้านี้ อย่างไรก็ดี IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP ของเอเชียในปีนี้เป็นขยายตัว 6.5% จากเดิม 7.6%

(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 52 เซนต์หรือ 0.6% ปิดที่ 82.96 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานว่าสภาพอากาศที่หนาวเย็นในประเทศจีนทำให้ความต้องการใช้พลังงานในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงหนุนจากผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันดิบและน้ำมันดีเซล หลังราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติปรับขึ้น ขณะที่ติดตาม EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐในวันนี้เวลา 21.30 น. ตามเวลาไทย

(+) ราคาทองคํา COMEX เพิ่มขึ้น 4.8 ดอลลาร์หรือ 0.27% ปิดที่ 1,770.5 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 980.10 / +-

- Advertisement -