บล.บัวหลวง: 

Betagro (BTG TB/BTG.BK)

BTG – ไตรมาส 2/66 ที่ฟื้นตัวช้าส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงอีกครั้ง

เนื่องจากการฟื้นตัวของกำไรไตรมาส 2/66 ที่ช้ากว่าที่เราคาดก่อนหน้า เราจึงทําการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลงอีกครั้ง ทั้งนี้ถึงแม้ว่าเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น BTG แต่เรามองว่ายังคงไม่ต้องรีบเข้าลงทุนในหุ้น BTG ตราบใดที่ราคาหมูไทยยังคงไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัว

สถานการณ์ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนยังคงมีต่อเนื่องในไตรมาส 2/66

สถานการณ์การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทย ถือว่ารุนแรงตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 2/66 และในช่วงปลายเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการจับกุมหมูเถื่อนนำเข้าจำนวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ (หรือคิดเป็นประมาณ 4 ล้านกก.) และเพื่อตอบโต้กับสถานการณ์ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนดังกล่าว กรมศุลกากรไทยได้นำเอามาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นมาใช้ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แช่แข็งทั้งหมดจะต้องผ่าน “เส้นสีแดง (หรือเปิดให้ตรวจสอบ)” แต่สําหรับในอดีตที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แช่แข็งบางประเภทสามารถผ่าน “เส้นสีเขียว (หรือได้รับการยกเว้นการตรวจสอบ)” ได้ นอกจากนี้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทยได้ส่งเรื่องการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนไปยังดีเอสไอ เพื่อให้พิจารณาเป็นคดีอาญากับผู้ที่ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ทั้งนี้เราเชื่อว่า สถานการณ์ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจะยังคงเป็นประเด็นที่กดดันราคาหมูไทยต่อไปในไตรมาส 2/66 ถึงแม้ว่าอาจจะมีความหวังว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2/66 และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3/66 และเนื่องจากราคาหมูไทยเฉลี่ยตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/66 จนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 80 บาท/กก. หรือลดลง 18% YoY และ 9% QoQ และราคา ณ ปัจจุบันช่วงปลายเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 76 บาท/กก. เราจึงคาดว่าธุรกิจหมูไทยจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันกำไร ไตรมาส 2/66 ให้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

เป้าหมายใหม่สําหรับผลการดำเนินงานในปี 2566-ยอดขายและอัตรากําไร ขั้นต้นที่ปรับลดลงจากเดิม

ผู้บริหารปรับลดเป้าหมายผลประกอบการปี 2566 ลงจากเดิม ได้แก่ 1) อัตราการเติบโตของยอดขายจาก 5-10% เหลือ 5-6% 2) อัตราค่าไรขั้นต้นจาก 15-17% เหลือ 14-15% และ 3) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายรวมจาก 11-12% เหลือ 10.5-11% โดยอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 5-6% ในปี 2566 จะมาจากวอลุ่มขายที่คาดว่าจะเติบโต 8-9% กลบราคาขายเฉลี่ยที่คาดว่าจะลดลง 3-4% ในขณะที่อัตรากําไรขั้นต้นที่ปรับลดลงจากเดิม เนื่องจากราคาหมูไทยที่ยังคงปรับตัวลดลงจนถึงเดือนพ.ค. 2566 ซึ่งถือว่าแย่กว่าที่ผู้บริหารคาดก่อนหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเริ่มเห็นราคาวัตถุดิบ (ข้าวโพดและกากถั่วเหลืองในประเทศ) ปรับตัวลงตั้งแต่ เดือนมิ.ย. 2566 ซึ่งนั่นหมายถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่จะปรับตัวดีขึ้นในเดือนมิ.ย. หรือในไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป และถ้าอ้างอิงจากอัตรากําไรขั้นต้นที่ 12.7% ในไตรมาส 1/66 และการคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นที่ 13-14% ในไตรมาส 2/66 (หรือปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จากไตรมาส 1/66) เรามองว่าอัตรากําไรขั้นต้นจะต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 16-17% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เพื่อให้ทั้งปี 2566 สามารถบรรลุเป้าหมายที่ 14-15% ได้ บริษัทมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายด้านการตลาดด้วยโฆษณาบนสื่อหลักที่จะต้องระมัดระวังมากขึ้น และบริษัทจะเน้นไปยังประสิทธิภาพด้านการลดต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ไม่เกิน 10.5-11%

ไตรมาส 2/66 ที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่งผลให้เราทำการปรับลดประมาณการกำไรลงอีกครั้ง

เราคาดกำไรหลักไตรมาส 2/66 ที่ 500 ล้านบาท ลดลง 75% YoY แต่เพิ่มขึ้น 25% QoQ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่เราเคยคาดก่อนหน้าที่ 850 ล้านบาท (เนื่องจากราคาหมูไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และต้นทุนวัตถุดิบที่ยังคงยืนในระดับสูงในไตรมาส 2/66) ผู้บริหารได้กล่าวว่ากำไรไตรมาส 2/56 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จากไตรมาส 1/66 และเนื่องจากการคาดการณ์การฟื้นตัว QoQ ของกำไรไตรมาส 2/66 ที่ช้ากว่าที่เราคาดก่อนหน้า  เราจึงทำการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลงอีก 31% (เหลือ 2.44 พันล้านบาท) เพื่อสะท้อนอัตราการเติบโตของยอดขายที่ลดลงจากเดิม (จาก 8.5% ปรับลดลงเหลือ 5.4%) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลดลงจากเดิม (จาก 13.8% เหลือ 13.1%) สำหรับในปี 2566 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายซึ่งอิงด้วยวิธี PEG ของเราปรับลดลงอีก 13% (เหลือ 28 บาท)

- Advertisement -