บล.เอเซีย พลัส:

ปัญหาชีพขาดแคลนกดดันกําไร 3Q64

คาดกำไรปกติงวด 3Q64 จะลดลง 16% qoq และ 47% yoy หลักๆ มาจากแนวโน้ม Gross margin ปรับตัวลดลงจากปัญหาเรื่องวัตถุดิบขาดแคลน และปัญหาน้ำท่วมกดดันประสิทธิภาพการทำกำไรลดลง หักล้างผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และแนวโน้มสัดส่วน SG&A/Sales ที่ดีขึ้นไปได้ทั้งหมด

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ลง 21.6% และ 15.9% จากเดิมสะท้อนประสิทธิภาพการทำกำไรที่แย่กว่าคาด ทั้งนี้ภายหลังปรับประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2564 จะลดลง 7% yoy แต่คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะพลิกกลับมาเติบโต 22% yoy ปรับไปใช้ FV ปี 2565 ที่ 190 บาท แม้ราคาหุ้นมีการปรับฐานลงมาถึง 41% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ยังมี Valuation ที่แพง จนล่าสุดมีค่า PER สูงถึง 72 เท่า จึงยังแนะนำขาย

แนวโน้มกำไรงวด 3Q64 อ่อนตัว qoq และ yoy กดดันจากทิศทางมาร์จิ้นลดลง

คาดกําไรสุทธิงวด 3Q64 เท่ากับ 1.4 พันล้านบาท ลดลง 15.9% qoq และ 47.3% yoy โดยคาด DELTA จะบันทึกกำไรจาก FX เข้ามา 100 ล้านบาท ขณะที่คาดกำไรปกติงวด 2Q64 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 9.7% qoq และ 49.0% yoy หลักๆ มาจากแนวโน้ม Gross margin งวด 3Q64 จะลดลงมาอยู่ที่ 20.0% จาก 21.6% ใน 2Q64 เนื่องจากเผชิญปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน ทำให้แนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบบางส่วนสูงขึ้น และการผลิตของเสียเพิ่มขึ้นบ้าง (Scarp rate) เพราะปัญหาน้ำท่วมกดดันให้แนวโน้มการดำเนินการผลิตลดลง หักล้างปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทเฉลี่ยงวด 3Q64 ที่อ่อนค่าลง 5.1% qoq และ 5.1% yoy มาที่ 32.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯไปได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ แม้คาดรายได้รวมงวด 3Q64 จะปรับเพิ่มขึ้น 1.8% qoq และ 19.8% yoy มาอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท สาเหตุหลักมาจากค่าเงินบาทเฉลี่ย 3Q64 ที่อ่อนค่าลง 5.1% qoq และ 5.1% yoy อย่างไรก็ตาม คาดรายได้รวมในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะปรับตัวลดลง 3.0% qoq (แต่เพิ่มขึ้น 13.9% yoy) มาอยู่ที่ 637 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนจากปัญหาน้ำท่วมโรงงานบางปูบางส่วน ทำให้ต้องหยุดโรงงานชั่วคราวราว 2 วัน (วันที่ 30-31 ส.ค. 64) และโรงงานผลิตวัตถุดิบที่ประเทศมาเลเซียหยุดชั่วคราว 2 สัปดาห์ ทำให้การผลิตไม่เต็มที่โดย DELTA มีการผลิตสินค้า High-end ในกลุ่ม Data Center และยานยนต์เพิ่มขึ้น แต่ผลิตสินค้า Standard ที่ได้รับคำสั่งซื้อจาก Delta ไต้หวันลดลงชั่วคราว

ขณะที่คาดสัดส่วน SG&A/Sales งวด 3Q64 จะลดลงเหลือ 14.7% (จาก 15.2% ใน 2Q64) จากแนวโน้มค่าใช้จ่าย Loyalty fees ให้ DELTA ไต้หวันลดลง อีกทั้งยังคาดค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ปรับลดลง ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับโควิดที่เพิ่มขึ้นไปได้ทั้งหมด

โดยรวมแล้วคาดการณ์กำไรสุทธิงวด 9H64 เท่ากับ 4.8 พันล้านบาท ลดลง 13.0% จากงวด 9M63 และคิดเป็นเพียง 57% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ก่อนปรับปรุง

ปรับลดประมาณการปี 2564-65 เฉลี่ย 19% สะท้อนผลการดำเนินงานอ่อนตัวกว่าคาด

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ลง 21.6% และ 15.9% จากเดิมสะท้อนการปรับสมมติฐานหลัก ๆ ดังนี้

1) ปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้รวมปี 2564-65 ขึ้น 14.4% และ 11.0% จากเดิมมาอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท และ 8.6 หมื่นล้านบาท สะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐานค่าเงินบาทเป็น 32 บาท/ดอลล่าห์สหรัฐ และ 37 บาท/ยูโร นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากความต้องการใช้ชิ้นส่วนฯในอุตสาหกรรมยานยนต์ และ Data Center เติบโตดีกว่าคาด หนุนให้ลูกค้าเพิ่มคำสั่งซื้อ โดยภายหลังปรับประมาณการคาดแนวโน้มรายได้รวมปี 2564-65 จะเติบโต 25.6% yoy และ 9.3% yoy ตามลำดับ

2) ปรับลดสมมติฐาน gross margin ปี 2564-65 ลงมาที่ 22.2% และ 23.1% ตามลำดับจากเดิม 24.9% และ 25.2% ตามลำดับ สะท้อนประสิทธิภาพการทำกำไรกว่าคาด จากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาน้ำท่วมกดดันการดำเนินการผลิตให้ลดลงชั่วคราว หักล้างผลบวกจากทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงไปได้ทั้งหมด

3) ปรับเพิ่มสมมติฐานสัดส่วน SG&A/Sales ปี 2564 ขึ้นเป็น 14.6% สะท้อนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอาทิ ค่าขนส่ งและค่า R&D สูงกว่าคาด และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มสัดส่วน SG&A/Sales งวด 9M64 ที่ 14.7% นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มสมมติฐานสัดส่วน SG&A/Sales ปี 2565 ขึ้นเป็น 14.5%

ทั้งนี้ภายหลังปรับลดประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2564 ลดลง 7.4% yoy จากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและน้ำท่วมกดดัน แนวโน้ม Gross margin ให้ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 21.6% yoy จากแนวโน้มปัญหาเรื่องวัตถุดิบเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่ความต้องการใช้ชิ้นส่วนยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หนุนแนวโน้มรายได้รวมปี 2564-65 เติบโต 25.6% yoy และ 9.3% yoy ตามลำดับ

PV ปี 2565 เท่ากับ 190 บาท … ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว

ภายใต้ประมานการใหม่ กำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 190 บาท (เดิม FV ปี 2564 เท่ากับ 170 บาท) อิงวิธี DCF (WACC 11.6%) แม้ภาพรวมธุรกิจหลักจะเติบโตระยะยาว แต่ในช่วงสั้นคาดกำไรสุทธิงวด 3Q64 จะอ่อนตัวลง อีกทั้ง ราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่แพง และเกินมูลค่าพื้นฐานไปมากจนล่าสุดมีค่า PER สูงถึง 71 เท่านอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงหากตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับวิธีการคํานวณหุ้นเข้าออกจากดัชนี SET50-SET100 ใหม่ โดยเพิ่มเกณฑ์ Cash Balance เข้ามาพิจารณาร่วม ซึ่งหุ้น DELTA มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านเกณฑ์ และอาจถูกคัดออกทั้ง 2 ดัชนี เนื่องจากเคยถูกขึ้นเครื่องหมาย Cash Balance และ Trading Alert มานานถึง 7 เดือน จากรอบการคํานวณสภาพคล่องท้ังหมด 12 เดือน กดดันให้กองทุนท้ังไทยและต่างประเทศท่ีลงทุนอิงตามดัชนีมีโอกาสลดน้ําหนักหุ้นในพอร์ตลงตาม จึงยังแนะนําขาย

ประเด็นความเสี่ยง

  1. ความผันผวนของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ หากค่าเงินบาทแข็งค่าข้ึน จะกดดันแนวโน้มกําไรสุทธิของ DELTA
  2. เศรษฐกิจชะลอตัว หากเศรษฐกิจชะลอตัวจะกดดันคําสั่งซื้อของลูกค้าให้ลดลง และจะกดดันรายได้รวมและกําไรสุทธิของ DELTA
- Advertisement -